วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ขนมไทย

ประวัติขนมไทยและความสำคัญ
ขนมไทยนั้นเกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ประเทศไทยยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ
เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้าน อาหารการกินร่วมไปด้วย
ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่ และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกส ของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนม ที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์
ขนมไทยเป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตก ต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนม จากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ

ขนมถ้วยฟู

ขนมถ้วยฟู  หมายถึง ความเจริญฟูเฟื่อง


ส่วนผสม
-แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
-น้ำลอยดอกไม้ 1/2 ถ้วยตวง
-ยีสต์ 1 ช้อนชา
-ผงฟู 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1.ใส่ยีสต์ลงไปในแป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน ใส่น้ำลอดอกไม้ทีละน้อน นวดจนแป้งนิ่มเนียน
2.ใส่น้ำตาลและน้ำทั้งหมดลงในแป้ง ใส่ผงฟู นวดต่อไป ปิฝาครอบไว้ 1-2 ชั่วโมง
3.เรียงถ้วยตะไลลงในรังถึงนึ่งในน้ำเดือดจนถ้วยร้อนประมาณ 5 นาที
ตักขนมที่ผสมไว้ลงในถ้วยตะไลพอเต็มปิดฝานึ่งให้สุกประมาณ 10-15 นาที ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วจึงแกะออกจากถ้วย

ขนมชั้น

ขนมชั้น หมายถึง ความเจริญเป็นชั้นที่สูงขึ้น ๆ



ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานพิธีมงคล โดยมีความเชื่อว่าจะต้องหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น จึงจะเป็นศิริมงคลเจริญก้าวหน้าแก่เจ้าภาพ
ส่วนผสมของขนมส่วนใหญ่จะเป็นกะทิ และน้ำตาล แป้ง 3 - 4 ชนิด แล้วแต่สูตรและความชอบเนื้อขนมในแต่ละแบบ ซึ่งแป้งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติทำให้ขนมมีเนื้อต่างกัน โดย
  • แป้งมัน จะทำให้เนื้อขนมเนียน นุ่ม เหนียว หนืด ดูใสเป็นมัน
  • แป้งท้าว จะทำให้เนื้อขนมเนียน เหนียว แข็ง แต่จะใสน้อยกว่าแป้งมัน
  • แป้งข้าวเจ้า จะทำให้เนื้อขนมแข็ง และอยู่ตัว
  • แป้งถั่วเขียว จะทำให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวมากเกินไป

สูตรทำขนมชั้น
หัวกะทิ 4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 2 ถ้วย
ใบเตย 10 ใบ คั้นน้ำข้น ๆ
วิธีทำ
1. เชื่อมน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
2. ผสมแป้งทั้ง 4 ชนิด เข้าด้วยกัน แล้วนวดกับกะทิ โดยค่อย ๆ ใส่กะทิทีละน้อย ๆ นวดนาน ๆ จนกะทิหมด แล้วใส่น้ำเชื่อมคนให้เข้ากัน พอให้แป้งติดหลังมือนิดหน่อย
3. กรองแป้งทั้งหมด แล้วแบ่งแป้งครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว อีกครึ่งหนึ่งใส่ใบเตยหรือสีตามชอบ
4. นำถาดไปนึ่งแล้วทาน้ำมันให้ทั่ว ใส่แป้งสีขาวประมาณ 1/2 ถ้วย แล้วนึ่งให้สุกประมาณ 5 นาที ชั้นที่ 2 ใส่สีเขียว แล้วนึ่งอีกประมาณ 5 นาที ทำเช่นนี้ไปจนหมดแป้ง แล้วให้ชั้นสุดท้ายเป็นสีเข้มกว่าชั้นอื่น ๆ เมื่อสุกยกลงทิ้งให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้นตามต้องการ



ขนมทองเอก

ขนมทองเอก หมายถึง ชีวิตที่เป็นหนึ่งตลอดกาล


ขนมทองเอก คือ ขนมไทยที่มีส่วนผสมของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่แดง และกะทิ กวนจนข้น แล้วนำใส่แม่พิมพ์ให้ได้รูปตามที่ต้องการ จากนั้นจึงแคะออกจากแม่พิมพ์ แล้วนำมาอบด้วยเทียนอบ
ขนมทองเอกในสมัยโบราณนั้นได้มีการนำทองคำเปลวมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาประดับไว้ด้านบนของขนมทองเอก โดยใช้วิธีการวางแผ่นทองคำเปลววางไว้บนแม่พิมพ์ก่อนเทขนมทองเอกลงในแม่พิมพ์ แต่ปัจจุบันไม่มีการนำทองคำเปลวมาตกแต่งขนมทองเอก เนื่องจากทองคำเปลวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้รับประทาน
ขนมทองเอกเป็นขนมในตระกูลทอง ซึ่งขนมในตระกูลทองอันได้แก่ ทองเอก ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมในตระกูลนี้จะต้องใช้ความพิถีพิถันในการทำ เพราะเป็นขนมที่มีลักษณะสง่างาม และโดดเด่นกว่าขนมชนิดอื่น ขนมทองเอกนั้นเป็นขนม 1 ใน 9 ชนิดที่ถูกเรียกว่าขนมมงคล อันได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น เม็ดขนุน ถ้วยฟู จ่ามงกุฏ ทองเอก และ เสน่ห์จันทร์ ขนมมงคลนั้นจะใช้ในการนำไปประกอบเครื่องคาวหวานเพื่อถวายพระในงานมงคลต่างๆ เช่น งานบวช งานมงคลสมรส หรืองานขึ้นบ้านใหม่ โดยเชื่อว่างานมงคลเหล่านี้จะต้องใช้เฉพาะขนมไทยที่มีชื่อไพเราะ และเป็นสิริมงคล ซึ่งคำว่า เอก ในชื่อขนมทองเอกนั้น หมายความว่า การเป็นที่หนึ่ง
ส่วนผสม
ไข่ไก่                            ฟอง
น้ำตาลทราย               ถ้วยตวง
ทองคำเปลว                 แผ่น
ผลอัลมอนด์          ๑/๒   ถ้วยตวง
กะทิ                             ถ้วยตวง
  วิธีทำ
      ๑. คั่วผลอัลมอนด์ให้กรอบ บดให้ละเอียดเป็นผงแป้ง แล้วร่อนหลายๆครั้ง
      ๒. ใส่ไข่แดง น้ำตาลทราย ลงในกะทิ คนให้เข้ากัน จนน้ำตาลทรายละลาย
      ๓. ร่อนผลอัลมอนด์ลงในส่วยผสมข้อ ๑ ทีละน้อย ตะล่อมให้เข้ากัน
      ๔. นำไปตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนปั้นได้ ใสพิมพ์ทิ้งให้เย็น เคาะออก ติดทองคำเปลว นำไปอบควันเทียน

ขนมทองพลุ

ขนมทองพลุ หมายถึง ความเจริญ มีชื่อเสียงโด่งดัง เหมือนพลุ


ขนมทองพลุ เป็นหนึ่งในขนมที่มีชื่อเป็นมงคลของไทยเพราะมีความหมายในทางที่ดี
ทอง หมายถึง ของมีค่า
พลุ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
ขนมมงคลหลายอย่างของไทย มักจะมีต้นตำรับมาจากต่างประเทศ ขนมทองพลุก็เช่นกัน มีต้นตำรับมาจากประเทศฝรั่งเศส เพราะเราดัดแปลงมาจากขนมเอแคลร์ ต่างกันตรงที่ขนมเอแคลร์ใช้อบและมีไส้ ส่วนขนมทองพลุจะใช้วิธีทอดเอา ดังนั้นถ้าใครทำขนมเอแคลร์ได้ ก็ทำขนมทองพลุได้เช่นกัน
ส่วนผสม
แป้งสาลี                       ถ้วยตวง
ไข่ไก่                 ฟอง
เกลือป่น                ๑/๘     ช้อนชา
เนย                    ช้อนโต๊ะ
น้ำ                    ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด        ถ้วยตวง
วิธีทำ
        ๑. ผสมน้ำ  เกลือป่น เนย ใส่ลงกระทะทอง ตั้งไฟให้เดือด ปิดไฟ
        ๒. ร่อนแป้งลงในเครื่องปรุงตามข้อ๑ คนอย่างเร็ว
        ๓. ใส่ไข่ไก่ทั้งฟอง จำนวน ๓ ฟอง และไข่แดง ๑ ฟอง คนให้เข้ากัน
        ๔. ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟกลางจนน้ำมันร้อน ตักหยอดทีละลูก เมื่อสุกเหลืองแล้วตักขึ้น
        ๕. รัปประทานกับน้ำเชื่อม ซึ่งมีส่วนผสม ประกอบด้วยน้ำตาลทราย ๑ ๑/๒ ถ้วยตวง ผสมกับน้ำ ๑ ถ้วยตวง
ตั้งไฟเคี่ยวจนเหนียว ใส่น้ำหวานสีแดง ให้มีสีสวยตามชอบ

ขนมลูกชุบ

ขนมลูกชุบ หมายถึง ความน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย


ขนมลูกชุบ   เป็นขนมไทยที่เลียนแบบธรรมชาติ   อาศัยฝีมือในการปั้น ส่วนใหญ่ จะปั้นเป็นผลไม้ พืชผัก เช่น มะม่วงสุก มังคุด  พริกชี้ฟ้า ชมพู่แก้มแหม่ม มะยม ฯลฯ สุดแต่ผู้ปั้นจะคิดประดิษฐ์    มักจะเป็นขนมที่มีไว้สำหรับรับแขกบ้านแขกเมือง หรือ คนสำคัญ   เพราะเป็นขนมที่มีหน้าตาสวยงาม   จูงใจให้รู้สึกอยากรับประทานขนมที่ มีสีสวยงาม ปั้นแต่งอย่างวิจิตรบรรจง   ที่ได้ชื่อว่าลูกชุบ ก็เพราะวิธีการทำให้ขนมมี ส่วนเหมือนผักผลไม้ ก็ต้องชุบวุ้นเพื่อให้เกิดความเงาคล้ายผิวของพืชผลไม้นั้น ๆ
ขนมลูกชุบ มีวิธีทำง่ายๆคือ
เครื่องปรุง
  • ถั่วเขียวนึ่งสุกบดละเอียด 1 กิโลกรัม, น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง, หัวกะทิ (มะพร้าว 400 กรัม) 1 ถ้วยตวง, สีผสมอาหารสีต่างๆ
ส่วนที่ชุบ
  • วุ้นผง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ, น้ำ 2 1 /2 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1.             ผสมถั่วบด น้ำตาลทราย กะทิ เข้าด้วยกัน ยกขึ้นตั้งไฟ
2.             กวนด้วยไฟอ่อนๆ จนล่อนจับกันไม่ติดกระทะ
3.             พักถั่วกวนไว้ให้เย็น นำมาปั้นเป็นรูปผลไม้ต่างๆตามต้องการ เสียบไม้ไว้
4.             ใช้พู่กันจุ่มสีระบายลงบนขนมที่ปั้น โดยระบายเลียนแบบของจริง ทิ้งไว้ให้แห้งจึงนำไปชุบวุ้น
5.             ผสมวุ้นกับน้ำยกขึ้นตั้งไฟ ให้ละลายก่อนจึงใส่น้ำตาลทราย เคี่ยววุ้นจนข้น
6.             เอาขนมที่ปั้นแล้วเสียบไม้ ลงชุบวุ้นครั้งเดียวให้ทั่ว ทิ้งไว้จนแห้งแล้วชุบอีก ทำเช่นนี้ประมาณ 3- 4 ครั้ง จะชุบแต่ละครั้งต้องให้เย็น วุ้นแข็งตัวก่อนทุกครั้ง
7.             เมื่อวุ้นแข็งจึงเอาไม้เสียบออก ตกแต่งด้วยก้านและใบให้สวยงาม